- Agentic AI workflow คือกระบวนการที่ขับเคลื่อนโดย AI อัตโนมัติ ซึ่งสามารถตัดสินใจได้เองโดยแทบไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม
- Agentic AI workflow ที่มีจริยธรรมจะให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ความยุติธรรม และการออกแบบที่เน้นมนุษย์ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงสูง เช่น สุขภาพหรือการเงิน
- AI agent ทุกตัวไม่ได้เป็น agentic เสมอไป เพราะบางตัวเพียงแค่ทำตามคำสั่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยไม่มีการตัดสินใจเอง
- การสร้าง workflow เหล่านี้ต้องการการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ โมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพ เป้าหมายที่ชัดเจน และการเชื่อมต่อผ่าน API หรือแพลตฟอร์ม low-code
ในยุคปัจจุบัน มีเครื่องมือ AI มากมายที่สัญญาว่าจะช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน: เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล AI agents เครื่องมือสรรหาบุคลากร ระบบ CRM อัจฉริยะ ฯลฯ
แต่เราจะเข้าใจและใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ร่วมกันได้อย่างไร? จะทำให้ทุกอย่างทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อได้อย่างไร? คำตอบคือ AI orchestration
AI orchestration คืออะไร?
AI orchestration คือกระบวนการผสานและจัดการเครื่องมือและระบบ AI ต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ด้วยการประสานงานเหล่านี้ ธุรกิจจะเพิ่มประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงความยุ่งเหยิงจากระบบที่แยกขาดหรือซ้ำซ้อน
ลองนึกถึงวาทยกรที่ควบคุมวงออเคสตร้าให้แต่ละเครื่องดนตรีเล่นในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม
AI orchestration สามารถเชื่อมโยงระบบประเภทใดได้บ้าง?
AI orchestration สามารถผสานและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบหลากหลายประเภท เปิดโอกาสให้ธุรกิจและองค์กรใช้งานได้หลากหลาย ตัวอย่างสำคัญ เช่น
- ระบบบริการลูกค้า
- เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล
- แพลตฟอร์มการตลาด
- การจัดการซัพพลายเชน
- โซลูชัน HR และการสรรหาบุคลากร
ประโยชน์ของ AI Orchestration
เมื่อมีการ orchestration ที่เหมาะสม ระบบ AI จะมีประสิทธิภาพ ขยายขนาด และปรับตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้โซลูชันมีความคล่องตัวและผสานกันมากขึ้น
ลองมาดูรายละเอียดของประโยชน์ทั้ง 3 ข้อนี้กัน
1. ขยายขนาดได้ง่าย
AI orchestration ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้อย่างราบรื่นเมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างเช่น บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ต้องรับมือกับยอดขายช่วงเทศกาล สามารถใช้ AI orchestration เพื่อเชื่อมโยงแชทบอทบริการลูกค้าเข้ากับระบบจัดการออเดอร์และโลจิสติกส์ ทำให้ตอบลูกค้าได้เร็วขึ้น จัดการคืนสินค้าได้มีประสิทธิภาพ และอัปเดตสต็อกแบบเรียลไทม์
เมื่อรวมเครื่องมือเหล่านี้เข้าด้วยกัน AI orchestration ช่วยให้การขยายธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น ลดเวลาหยุดชะงัก และรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้ดี
2. ยืดหยุ่นสูง
ความยืดหยุ่นเป็นข้อดีหลักของ AI orchestration เพราะช่วยให้ธุรกิจผสานเครื่องมือใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ
เช่น บริษัทโลจิสติกส์อาจนำเครื่องมือ AI สำหรับวางแผนเส้นทางมาใช้ AI orchestration จะช่วยให้เครื่องมือใหม่นี้สื่อสารกับระบบติดตามพัสดุและอัปเดตสถานะการจัดส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การผสานที่ราบรื่นนี้ช่วยลดปัญหาและทำให้ทีมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ง่ายขึ้น
3. ประสิทธิภาพ
ด้วยการปรับแต่งการทำงานร่วมกันของเครื่องมือ ระบบโดยรวมจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่าน AI orchestration
ในวงการสุขภาพ AI orchestration สามารถเชื่อมโยงเครื่องมือวินิจฉัย AI เข้ากับระบบนัดหมาย เมื่อผลตรวจของผู้ป่วยมีความเร่งด่วน ระบบจะจองคิวติดตามผลให้อัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที
ความท้าทายของ AI Orchestration
แม้ AI orchestration จะช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องพิจารณา องค์กรควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ก่อนเริ่มใช้งาน
ข้อกังวลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
เครื่องมือ AI orchestration อาจต้องจัดการข้อมูลสำคัญจำนวนมาก ซึ่งก่อให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับ:
- ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
- โอกาสที่ข้อมูลจะรั่วไหล
- ข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามกฎหมาย
เพื่อป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ องค์กรควรมีมาตรการปกป้องข้อมูลที่รัดกุม เช่น การปฏิบัติตาม GDPR สำหรับแชทบ็อกซ์ และข้อกำหนด SOC 2 และ HIPAA (สำหรับวงการสุขภาพ)
ความซับซ้อนในการนำไปใช้
แม้ AI orchestration จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว แต่การนำไปใช้จริงมีความซับซ้อนและต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคสูงในการผสานระบบต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันได้ดี
หากดำเนินการไม่ถูกต้อง องค์กรอาจเผชิญกับปัญหา เช่น ระบบล่ม ประสิทธิภาพลดลง หรือข้อผิดพลาดของข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน
เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ ควรเตรียมทรัพยากร วางกลยุทธ์ที่ชัดเจน และจัดอบรมทีมงานอย่างครบถ้วน
การร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทีม Customer Success หรือผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มีความสำคัญในการช่วยวางแผนและดำเนินการ พวกเขาจะช่วยระบุความเสี่ยงล่วงหน้า ให้คำแนะนำสำหรับการผสานระบบ และช่วยให้ทุกอย่างสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร
ความเชี่ยวชาญของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหา และทำให้การนำ AI orchestration ไปใช้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างการใช้ AI Orchestration
มาดูตัวอย่างการใช้งานจริงของ AI orchestration ในองค์กรขนาดใหญ่กัน
ระบบบริการลูกค้าอัตโนมัติ
AI orchestration สามารถทำให้บริการลูกค้าคล่องตัวขึ้นด้วยการเชื่อมต่อ AI agent กับระบบ CRM
เช่น แชทบอทสำหรับองค์กร สามารถดึงคำตอบจากคลังความรู้ ปรับแต่งการตอบกลับโดยใช้ข้อมูลจาก CRM ติดตามผลอัตโนมัติ และส่งต่อปัญหาพร้อมข้อมูลประกอบ
ช่วยงานขาย
เมื่อมีลูกค้าแสดงความสนใจในสินค้า AI จะช่วยคัดกรองลูกค้าโดย วิเคราะห์พฤติกรรม ระบุความต้องการ และนัดหมาย ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
AI orchestration จะติดตามการโต้ตอบของลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อระบุว่าลูกค้าพร้อมจะดำเนินการต่อเมื่อใด ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ทีมขายเห็นสถานการณ์แบบเรียลไทม์ สามารถจัดลำดับความสำคัญและเข้าถึงลูกค้าสำคัญได้ตรงจุด
ระบบอัตโนมัติช่วยให้พนักงานขายมีเวลาสร้างความสัมพันธ์และปิดการขาย มากกว่าต้องจัดการแต่ละขั้นตอนด้วยตนเอง
การจัดการความรู้ภายในองค์กร
AI orchestration ช่วยให้การจัดการความรู้ภายในมีประสิทธิภาพขึ้น ด้วยการเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ อัตโนมัติและเข้าถึงข้อมูลได้อย่างต่อเนื่อง
เช่น พนักงานที่ต้องเตรียมรายงานอาจต้องใช้ข้อมูลจากคลังเอกสาร แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล และ CRM ด้วย AI orchestration ระบบเหล่านี้จะเชื่อมโยงกัน ทำให้พนักงานรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ได้ในขั้นตอนเดียว ไม่ต้องสลับเครื่องมือไปมา
การสร้างลูกค้าเป้าหมาย
การติดต่อ คัดกรอง และส่งต่อกลุ่มเป้าหมายไปยังทีมขายที่เหมาะสม สามารถทำได้อัตโนมัติด้วย AI orchestration
เช่น AI agent สามารถเริ่มสนทนาทางอีเมลหรือแชท คัดกรองลูกค้าตามพฤติกรรม และส่งต่อไปยังทีมขายที่เกี่ยวข้อง
ด้วยการเชื่อมต่อ CRM และเครื่องมือการตลาด AI orchestration ช่วยให้ การสร้างลูกค้าเป้าหมายด้วย AI มีประสิทธิภาพ: สร้าง คัดกรอง และเริ่มต้นกระบวนการตลาดได้ทันที
ระบบอัตโนมัติกระบวนการทำงาน
ไม่ว่ากระบวนการทำงานของคุณจะมีขั้นตอนไหน AI orchestration ก็ช่วยให้เร็วขึ้น ด้วยการเชื่อมต่อเครื่องมืออย่าง CRM ระบบนัดหมาย และอีเมล AI orchestration จะช่วยให้งานซ้ำซ้อนในแต่ละแผนกเป็นอัตโนมัติ
เช่น สามารถอัปเดตข้อมูลลูกค้า ส่งแจ้งเตือน หรือจัดการอีเมลประจำวันโดยอัตโนมัติ
4 เครื่องมือ AI Orchestration ชั้นนำ
พร้อมเริ่มต้นแต่ยังรู้สึกสับสนกับตัวเลือกที่มีอยู่มากมายใช่ไหม?
นี่คือภาพรวมของฟีเจอร์เด่น ข้อดี และข้อเสียของเครื่องมือ AI orchestration ชั้นนำ 4 ตัว
1. Botpress

Botpress คือแพลตฟอร์มแบบครบวงจรสำหรับสร้าง ปรับใช้ และจัดการ AI agent ที่ขับเคลื่อนด้วย LLM รุ่นล่าสุด
รองรับการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มและช่องทางต่าง ๆ อย่างไร้รอยต่อ เหมาะกับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการโซลูชันขยายขนาดได้
ฟีเจอร์เด่น:
- เครื่องมือสร้างโฟลว์แบบภาพสำหรับสร้างแชทบอท
- ปรับใช้ได้หลายช่องทาง (เว็บ, SMS, แอปแชท)
- เชื่อมต่อกับ API และเครื่องมือธุรกิจภายนอก
- เอนจิน NLU สำหรับเข้าใจภาษาธรรมชาติขั้นสูง
ข้อดี
ออกแบบมาเพื่อรองรับการขยายตัว Botpress โดดเด่นในการสร้าง ปรับใช้ และจัดการแชทบอท AI มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและความสามารถในการเชื่อมต่อที่แข็งแกร่ง ช่วยให้การสื่อสารกับลูกค้าราบรื่นยิ่งขึ้น
ข้อเสีย
การเชื่อมต่อสำเร็จรูปกับบางเครื่องมืออาจมีจำกัด ต้องตั้งค่าเพิ่มเติมในบางกรณี
2. Apache Airflow

Apache Airflow เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สสำหรับจัดการและควบคุมเวิร์กโฟลว์ในรูปแบบ Directed Acyclic Graphs (DAGs)
ช่วยให้สามารถตั้งเวลาและติดตามเวิร์กโฟลว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการทำงานอัตโนมัติของ data pipeline ที่ซับซ้อน
ฟีเจอร์เด่น
- จัดการเวิร์กโฟลว์แบบ DAG เพื่อติดตามความสัมพันธ์ของงาน
- มีคลัง operator สำเร็จรูปให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย
- มี scheduler สำหรับตั้งเวลางานที่เกิดซ้ำอัตโนมัติ
- รองรับการปรับใช้แบบกระจายบนระบบขนาดใหญ่
ข้อดี
แพลตฟอร์มที่ทรงพลังสำหรับจัดการเวิร์กโฟลว์อย่าง Apache Airflow รองรับงานหลากหลายประเภทและยืดหยุ่นสูงสำหรับการทำงานอัตโนมัติของข้อมูล
ข้อเสีย
การเรียนรู้ใช้งานอาจยากสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Python หรือ DevOps
3. Kubeflow

Kubeflow เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สสำหรับจัดการเวิร์กโฟลว์ machine learning (ML) บน Kubernetes
ช่วยให้ง่ายต่อการปรับใช้ ควบคุม และขยายระบบ เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเพิ่มศักยภาพด้าน ML
ฟีเจอร์เด่น
- รองรับการฝึกและให้บริการโมเดล TensorFlow
- ผสานกับ Kubernetes เพื่อการขยายระบบอย่างไร้รอยต่อ
- เชื่อมต่อกับ notebook สำหรับการทดลอง
- มี pipeline สำหรับเวิร์กโฟลว์ ML แบบครบวงจร
ข้อดี
เหมาะสำหรับการจัดการเวิร์กโฟลว์ machine learning, Kubeflow รองรับ Kubernetes ได้ดีเยี่ยมสำหรับการขยายระบบและการปรับใช้แบบ container
ข้อเสีย
การติดตั้งและจัดการ Kubeflow อาจใช้ทรัพยากรมากสำหรับองค์กรที่ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์
4. DataRobot
.webp)
DataRobot เป็นแพลตฟอร์ม AI สำหรับองค์กรที่ช่วยทำงานพัฒนา ปรับใช้ และจัดการโมเดล machine learning แบบอัตโนมัติ สามารถสร้างโมเดลทำนายและดึงข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็วด้วย AutoML รองรับเวิร์กโฟลว์ AI แบบครบวงจร
ฟีเจอร์เด่น
- ระบบ machine learning อัตโนมัติสำหรับพัฒนาโมเดลอย่างรวดเร็ว
- ติดตามและตรวจสอบการปรับใช้โมเดล
- วิเคราะห์เชิงทำนายและสร้างข้อมูลเชิงลึก
- เชื่อมต่อกับเครื่องมือ business intelligence ยอดนิยม
ข้อดี
เครื่องมือนี้ช่วยให้การนำ AI ไปใช้และจัดการเป็นเรื่องง่าย ด้วยระบบอัตโนมัติแบบครบวงจรสำหรับการสร้าง ประเมิน และนำโมเดลไปใช้งาน
ข้อเสีย
แม้ใช้งานง่าย แต่เน้นอัตโนมัติเป็นหลัก อาจไม่เหมาะกับทีมที่ต้องการควบคุมโมเดล AI อย่างละเอียด
เริ่มต้นกับ AI orchestration
AI orchestration กำลังเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจ ด้วยการผสานเครื่องมือและระบบ AI หลากหลายเข้าด้วยกัน
ด้วยการออกแบบที่ยืดหยุ่นและรองรับองค์กร Botpress เชื่อมต่อ AI agent ข้ามแผนกต่าง ๆ เพื่อให้การสื่อสารและเวิร์กโฟลว์เป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อระบบบริการลูกค้า การสร้างลีดอัตโนมัติ หรือการจัดการความรู้ภายใน Botpress ก็สามารถควบคุมเครื่องมือ AI ต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันเป็นระบบเดียวได้
พร้อมเริ่มควบคุมกระบวนการธุรกิจให้ฉลาดขึ้นหรือยัง?
คำถามที่พบบ่อย
1. AI orchestration ต่างจาก AI automation อย่างไร?
AI automation คือการใช้ AI ทำงานเดี่ยว ๆ เช่น สรุปเอกสารหรือแท็กตั๋วซัพพอร์ต ขณะที่ AI orchestration คือการประสานเครื่องมือและกระบวนการ AI หลายอย่างเพื่อดำเนินเวิร์กโฟลว์ทั้งชุด เปรียบเทียบได้กับการอัตโนมัติแค่ขั้นตอนเดียว กับการจัดการกระบวนการหลายขั้นตอน
2. AI orchestration เหมือนกับ API orchestration หรือไม่?
ไม่เหมือนกัน AI orchestration ไม่ใช่ API orchestration เพราะ API orchestration คือการเชื่อมโยงระบบผ่าน API ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ส่วน AI orchestration จะเพิ่มความฉลาดเชิงบริบท เช่น ตัดสินใจว่าจะเรียกใช้บริการ AI ใดและลำดับใดตามข้อมูลหรือผลลัพธ์แบบเรียลไทม์
3. AI orchestration เกี่ยวข้องกับ MLOps และ DevOps อย่างไร?
AI orchestration ช่วยเสริม MLOps ด้วยการอัตโนมัติ เช่น การเก็บ feedback และการฝึกโมเดลซ้ำ และยังสนับสนุน DevOps ด้วยการจัดการตรรกะการทำงานของบริการอัจฉริยะ ช่วยให้การตัดสินใจของ AI ถูกรวมเข้ากับ production pipeline ได้
4. มีความท้าทายอะไรบ้างในการควบคุมเครื่องมือที่ใช้ AI model หรือ LLM ต่างกัน?
ความท้าทายหลักคือการจัดการรูปแบบข้อมูลเข้า/ออกที่ไม่เหมือนกัน การปรับความสามารถของแต่ละโมเดล (เช่น ความเข้าใจภาษา กับการค้นคืนข้อมูล) และการส่งข้อมูลระหว่างระบบให้ปลอดภัยและเชื่อถือได้ นอกจากนี้ยังต้องมีตรรกะสำรองที่ดีในกรณีที่โมเดลใดล้มเหลวหรือให้ผลลัพธ์ไม่ชัดเจน
5. ทีมที่ไม่ใช่สายเทคนิคจะได้ประโยชน์จาก AI orchestration อย่างไร?
ทีมที่ไม่ใช่สายเทคนิคจะได้ประโยชน์จาก AI orchestration ด้วยการเข้าถึงเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติข้ามฟังก์ชัน เช่น การจัดการลีด การสร้างรายงาน หรือการวิเคราะห์แคมเปญ โดยไม่ต้องเขียนโค้ด สามารถสั่งงานที่ซับซ้อนข้ามเครื่องมือได้ด้วยคำสั่งเดียว ลดการพึ่งพาทีมวิศวกรรม





.webp)
